ภูมิหลังประวัติศาสตร์ บันทึกเกี่ยวกับ "บุญบั้งไฟ" ในประเทศไทย ของ บุญบั้งไฟ

ภูมิปัญญาเทคโนโลยีสุดล้ำยุคนี้เป็นของชนเผ่าไทยตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ บั้งไฟ เป็นจรวดโบราณสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นภูมิปัญญาเทคโนโลยีล้ำยุคของชนเผ่าไทที่คิดค้นขึ้นมาไม่ต่ำกว่า 5,000 ปี ก่อนจะแยกย้ายมาเป็นเผ่าต่าง ๆ จุดมุ่งหมายในการทำบั้งไฟนั้น เพื่อใช้ในประเพณีขอฝน ซึ่งปรากฏจากหลักฐานการจุดบั้งไฟ เพื่อใช้ในประเพณีขอฝนของชนเผ่าไท มีหลักฐานปรากฏการจุดบั้งไฟขอฝนในเผ่าไทลื้อ ไท-ยวน ไทพวน ไทอีสาน ไทดำ ไทแดง ไทครั้ง และอื่น ๆ อีกมากมาย

ประเพณีการจุดบั้งไฟของชาวไทลื้อแห่งอาณาจักรสิบสองปันนาว่า ชาวไทลื้อมีภูมิลำเนาดั้งเดิมอยู่ที่แคว้นสิบสองปันนามาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ โดยพบหลักฐานว่า ตั้งแต่สมัยราชวงศ์เจ้า ไม่ต่ำกว่า 3,000 ปี ดังนั้น การจุดบั้งไฟจึงเป็นภูมิปัญญาก่อนประวัติศาสตร์ของชาวไทลื้อแห่งอาณาจักรสิบสองปันนา ในมณฑลยูนนาน ก่อนที่จะอพยพมาอยู่ในประเทศไทย

ชาวไทลื้อจะนิยมเรียกบั้งไฟว่า **บอกไฟขึ้น** วัตถุประสงค์ในการจุดบอกไฟขึ้น (ฟ้า) เพื่อบูชาพระอินทร์ หรือพระยาแถน ขอให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ซึ่งจะทำในช่วงเทศกาลสงกรานต์ นอกจากนั้น ชาวไทลื้อยังจุดบอกไฟดอก (ดอกไม้ไฟ) ในงานบุญ เช่น งานฉลองที่วัด งานเทศน์มหาชาติ งานผ้าป่า กฐิน จุลกฐิน ฯลฯ

ส่วนประเพณีการจุดบอกไฟของไท-ยวนแห่งอาณาจักรล้านนา อาจารย์อรไทเล่าว่า ชาวไท-ยวน เป็นชนเผ่าไทเมืองหรือไทมุง ที่อพยพมาจากอาณาจักรไทเดิม ในมณฑลยูนนานไม่ต่ำกว่า 2,000 ปีมาแล้ว ได้ก่อตั้งอาณาจักรโยนกนครขึ้นบริเวณลุ่มน้ำโขง ดังนั้น การจุดบอกไฟจึงเป็นประเพณีโบราณของชนเผ่าไท-ยวนมาตั้งแต่อาณาจักรไทเมืองไม่ต่ำกว่า 5,000 ปีมาแล้ว ก่อนที่จะอพยพมาตั้งอาณาจักรโยนกนคร เมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อน ชาวไท-ยวนจะเรียกว่า บอกไฟขึ้น เช่นเดียวกับไทลื้อ และเมื่อทำบอกไฟแล้วจะนำไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาพุทธที่วัดเรียกว่า การประเคนบั้งไฟ อีกทั้งจะมีการแต่งเพลงที่ใช้เซิ้งบอกไฟ และมีการแห่เซิ้งบอกไฟไปที่ก้าง (ค้าง) บอกไฟ ที่ทำเป็นเสาสูงใช้ไม้ตีเป็นบันไดสูงขึ้นไป เพื่อติดตั้งบอกไฟให้สูงเวลาจุดจะได้ส่งให้บอกไฟขึ้นสูงยิ่งขึ้น ปัจจุบันชาวไท-ยวน ที่ อำเภอลอง จังหวัดแพร่ ยังคงสืบทอดการจุดบอกไฟนี้ประเพณีเช่นเดิม

ส่วนประเพณีบุญบั้งไฟของชาวไทถิ่นอีสานแห่งอาณาจักรล้านช้างนี้ ชาวไทถิ่นอีสาน เป็นชนเผ่าไทลาวมีประวัติความเป็นมาที่เก่าที่สุด "เตอร์เรียน เดอ ลาคูเปอรี" ศาสตราจารย์ชาวอังกฤษ ประจำมหาวิทยาลัยลอนดอน ผู้เชี่ยวชาญทางภาษาศาสตร์ของอินโดจีนระบุว่า ชนเผ่าไทมีภูมิลำเนาดั้งเดิมอยู่ตอนกลางของประเทศจีน ระหว่างแม่น้ำฮวงโหและแม่น้ำแยงซีเกียง บริเวณหุบเขาระหว่างแคว้นเสฉวนกับแคว้นเชนซี (เซียมไซ) โดยพบหลักฐานการกล่าวถึงอาณาจักรไทเมืองของชนชาติอ้ายลาว มาตั้งแต่ 4,200 ปีมาแล้ว ซึ่งชนชาติอ้ายลาวเป็นชาวพื้นเมืองดั้งเดิมของประเทศจีน ก่อนที่พวกจีนฮั่นจะอพยพมาจากทางเหนือ

ซึ่งประเพณีบุญบั้งไฟดั้งเดิมของชนเผ่าอ้ายลาว ก่อนที่จะอพยพลงมาตั้งอาณาจักรล้านช้างบนฝั่งแม่น้ำโขงนั้น ชาวอีสานมีตำนานความเชื่อเกี่ยวกับบุญบั้งไฟ ซึ่งเป็นพิธีกรรมที่เก่าแก่มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เช่น ตำนานพระยาคันคาก ตำนานท้าวผาแดง นางไอ่ เป็นต้น ประเพณีจุดบั้งไฟจะทำในเดือนหก ถ้าฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ชาวอีสานจะจุดบั้งไฟเพื่อบูชาและส่งสัญญาณเตือนพระยาแถนหรือวัสสการเทวดา (เทวดาแห่งฝน) ผู้ชอบการบูชาด้วยไฟ เพื่อดลบันดาลให้ฝนตกเพื่อมีน้ำฝนในการทำนาทำไร่

ในส่วนของชาวไทพวนแห่งอาณาจักรล้านช้างก็มีประเพณีจุดบั้งไฟเช่นเดียวกัน ซึ่งชาวไทพวนเป็นกลุ่มคนไทที่อพยพมาจากเมืองพวนทางตอนใต้ของหลวงพระบาง แขวงเชียงขวาง ประเทศลาว มาตั้งแต่ พ.ศ. 2370 ในสมัยรัชกาลที่ 3 มาตั้งถิ่นฐานอยู่หลายจังหวัด ที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์การจุดบั้งไฟ คือ ที่บ้านหาดเสี้ยว อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย ชาวไทพวนจะจุดบั้งไฟในวันวิสาขบูชาของทุกปี เพื่อบูชาพระยาแถนขอให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล หรือเป็นการบอกพระภูมิที่นาว่าถึงเวลาทำนาทำไร่แล้ว

นอกจากนี้ชาวผู้ไทแห่งอาณาจักรสิบสองเจ้าไท ซึ่งเมื่อก่อนมีภูมิลำเนาก่อนประวัติศาสตร์อยู่ที่เมืองแถง (เมืองน้ำน้อยอ้อยหนู) แคว้นสิบสองเจ้าไท ภายหลังเมืองน้ำน้อยอ้อยหนูแห้งแล้ง จึงอพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่เมืองวังในเขตเวียงจันทน์ จนถึงสมัยรัชกาลที่ 3 เกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ ฝ่ายไทยปราบปรามได้ จึงได้กวาดต้อนชาวเวียงจันทน์รวมทั้งชาวผู้ไทยมาอยู่ฝั่งขวาแม่น้ำโขง ในจังหวัดนครพนม มุกดาหาร สกลนคร อุดรธานี และกาฬสินธุ์

ประเพณีบุญบั้งไฟก่อนประวัติศาสตร์ของชาวผู้ไท มีภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่เมืองแถง แคว้นสิบสองเจ้าไท ซึ่งปรากฏหลักฐานในตำนานเรื่องท้าวผาแดง นางไอ่ มาตั้งแต่โบราณ จุดประสงค์ของประเพณีบุญบั้งไฟนั้นนอกจากจะเป็นพิธีกรรมบูชาพระยาแถนเพื่อขอฝนแล้ว ยังเป็นการบูชาพระธาตุเกศแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ซึ่งจะทำกันในเดือนหก เพื่อขอฝนให้ตกลงมาทันการเพาะปลูกข้าวกล้า[1]